รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ชงครม.ผุดศก.ชีวภาพเชื่อมอีอีซีต้นพ.ย.นี้ ตั้งงบลงทุนที่ขอนแก่น6หมื่นล้าน   


21 ตุลาคม 60 23:10:30


     ภาพโดย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)

 

          "อุตตม" เร่งนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเข้าครม.อนุมัติต้นพ.ย.นี้ วางกรอบ 10 ปี ต่อยอดจากอ้อยและมันสำปะหลังลงทุน 3.62 แสนล้านบาทนำร่องในอีอีซีเชื่อมโยงสู่ 3พื้นที่ขอนแก่นนครสวรรค์ และกำแพงเพชร ให้เป็นเขตส่งเสริมได้สิทธิประโยชน์เหมือนอีอีซี
 
          นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ทางคณะทำงานด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้สานพลังประชารัฐ มีตัวเองเป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ ได้มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพหรือไบโออีโคโนมีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเห็นชอบประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนนี้โดยถือเป็น 1 ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เกิดขึ้น และยังเป็นการช่วยขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี


 
          ทั้งนี้ แผนดังกล่าวจะครอบคลุมด้านมาตรการการส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ และมาตรการจูงใจให้เกิดการตั้งโรงงานผลิต ซึ่งจะมีการลงทุนในระยะเวลา 10 ปี (2560-2569) คิดเป็นเม็ดเงินราว 3.62 แสนล้านบาท โดยจะมีการลงทุนต่อยอดอุตสาหกรรมชีวภาพในพื้นที่อีอีซี ในกลุ่ม ไบโอพลาสติก, Biopharma, Palm Biocomplex ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนในจังหวัดชลบุรีประมาณ 4 พันล้านบาท และจังหวัดระยองอีกประมาณ 5,740 ล้านบาท โดยยังไม่รวมงบลงทุนในพื้นที่เขตส่งเสริมนวัตกรรมหรืออีอีซีไอ  และจะมีการเชื่อมโยงสู่การพัฒนา Biorefinery Complex ที่ใช้น้ำตาลและมันสำหลังเป็นพืชนำร่องในเขตภาคเหนือตอนล่างจังหวัดนครสวรรค์ เงินลงทุนประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท และกำแพงเพชร เงินลงทุนประมาณ 2.15 หมื่นล้านบาท และพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางในจังหวัดขอนแก่น ลงทุนอีกประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการเสนอให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตส่งเสริมพิเศษ ในลักษณะที่ใช้กับพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและจูงใจให้เกิดการลงทุนมากขึ้น


 
          แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำหรับกลไกในการขับเคลื่อนไบโออีโคโนมีตลอดห่วงโซ่นั้น จะมีการทำงานแบบบูรณาการของภาครัฐทั้ง 5 กระทรวงโดยตั้งคณะทำงานขึ้นมา เช่น จากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการประสานงานกับภาคเอกชนได้โดยตรง ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการจัดตั้ง
 
          ขณะที่ความสนใจของนักลงทุนนั้น เริ่มมีความชัดเจนขึ้นมากว่ารายใดจะลงทุนในโครงการอะไรในพื้นที่ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทน้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมีคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทเกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนลชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือเคทีไอเอส บริษัท อูเนโนไฟน์เคมีคัลส์อินดัสตรี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอเชีย สตาร์ เทรด จำกัด บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัดบริษัท คริสตอลลา จำกัด บริษัทแบ็กซ์เตอร์เฮลธ์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยโอซูกา จำกัด เป็นต้น
 
          ประกอบกับพื้นที่ตั้งโครงการในอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ที่จะตั้งเป็นไบโอคอมเพล็กซ์ ราว 1 พันไร่ ของบริษัทเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนลชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS และพื้นที่ในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ของกลุ่มมิตรผล ซึ่งจะเสนอเป็นเขตส่งเสริมพิเศษ ในลักษณะเดียวกับพื้นที่อีอีซีนั้น ก็มีการเตรียมความพร้อมและศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งแล้วเช่นกัน ดังนั้น หากครม.อนุมัติแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพขึ้นมา เอกชนก็พร้อมจะลงทุนได้

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560 







เว็บโฮสติ้ง

เว็บโฮสติ้ง   Cloud Web Hosting   Streaming Server   VPS