ขอนแก่น ชาวบ้านถูกสวมสิทธิ์ “เราเที่ยวด้วยกัน” เกือบ200ราย – ไม่ต้องไปเที่ยวก็จะได้รับเงินสด 450 บาท (มีคลิป)

2

ตำรวจ สภ.แวงใหญ่ เร่งสอบปากคำชาวบ้านในพื้นที่เกือบ 200 ราย หลังพบว่าถูกสวมสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล เชื่อมโยงโรงแรมในจังหวัดชัยภูมิ ตรวจสอบพบมีคนมาเชิญชวนลงทะเบียนรับสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกันซึ่งไม่ต้องไปเที่ยวก็จะได้รับเงินสด รายละ 450 บาท บางรายไม่ได้รับ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 พฤษภาคม 2564 ที่สภ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น นางบัวเรียน ดีสุข อายถ 43 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโจทย์ใหญ่ ม.5 ต.ใหม่นาเพียง อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น พาลูกบ้าน 35 คน เข้าให้ปากคำกับ พ.ต.ท.สุพรรณ พระบุ สว.สอบสวนสภ.แวงใหญ่ ในกรณีเป็นผู้ขายสิทธิ์ ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ภายหลังการให้ปากคำเสร็จสิ้น นางบัวเรียน ดีสุข อายุ 43 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโจทย์ใหญ่ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แวงใหญ่ว่า ให้แจ้งลูกบ้าน จำนวน 35 คน ไปให้ปากคำ กรณีเป็นผู้ขายสิทธิ์ ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จึงแจ้งให้ลูกบ้านทราบ และเดินทางเข้าให้ปากคำครบทั้ง 35 คน

ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า ในช่วงที่รัฐบาล จัดทำโครงการเราเที่ยวด้วยกันเมื่อปี 2563 มี น.ส.เอ (นามสมมุติ) เป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้าน มาชักชวนให้ร่วมลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ใครไม่ไปเที่ยวจะได้เงิน ชาวบ้านเห็นว่า เป็นโครงการของรัฐบาล จึงลงชื่อเข้าร่วมโครงการ โดยน.ส.เอ จะเอาบัตรประชาชน และโทรศัพท์ไปดำเนินการให้ประมาณ 3 วัน ชาวบ้านก็จะได้เงิน แต่จำนวนเงินที่ได้นั้น อยู่ที่ คนละ 300-350-450 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่เท่ากัน เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อข้าวสาร ซื้ออาหารมากินกันในครอบครัว โดยที่ไม่มีใครทราบรายละเอียดว่า จะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด หรือผิดกฎหมายหรือไม่ เมื่อตำรวจเรียกตัวไปให้ปากคำ ชาวบ้าน จึงเดินทางไปทั้งหมดตามที่มีชื่อปรากฏ

ขณะที่นางอุทัย คำแก้ว อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 136 ม.5 บ้านโจทย์ใหญ่ กล่าวว่า น.ส.เอมาหาที่บ้านและชักชวนให้ลงทะเบียนร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยบอกว่า ถ้าลงทะเบียนผ่าน ไม่ต้องไปเที่ยว แต่จะได้เงินมา เพราะรัฐบาลช่วยเหลือ จึงได้ตัดสินใจลงทะเบียน จากนั้นได้เงินมาจำนวน 450 บาท นำไปซื้ออาหารมาทำให้หลานกิน และให้หลานไปโรงเรียน หากการถูกตำรวจเรียกไปสอบสวน และเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายก็ยอมรับ เพราะอยากได้เงินมาซื้อข้าว ซื้ออาหาร แต่ถ้าจะเอาเงิน 450 บาท คืนให้รัฐบาล ก็จะไปหารับจ้าง เพื่อนำเงินมาคืนให้

นางอุทัย คำแก้ว อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 136 ม.5 บ้านโจทย์ใหญ่
นางอุทัย คำแก้ว อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 136 ม.5 บ้านโจทย์ใหญ่

ทางด้านอาณี สายแก้วลาด อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 164 ม.5 บ้านโขทย์ใหญ่ กล่าวว่า ช่วงที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ต้องการไปเที่ยวลงทะเบียนร่วมโครงการ เราเที่ยวด้วยกันนั้น เห็นคนในหมู่บ้านลงทะเบียนกันจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เห็นคนที่ลงทะเบียน ได้เงินกัน จึงอยากได้เงิน และอยากลงทะเบียนบ้าง กระทั่ง น.ส.เอ มาหาที่บ้าน และจัดการลงทะเบียนให้ โดยทำการลงทะเบียนให้สามี และปู่ย่าด้วย รวมทั้งหมด 4 คน การลงทะเบียนผ่าน แต่ไม่มีใครได้เงิน เมื่อถาม น.ส.เอ ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ทราบ น่าจะใช้สิทธิ์ลงทะเบียนไม่ผ่าน เมื่อตำรวจเรียกตัวไปสอบสวน จึงได้รู้ความจริงว่า ตนและสามี รวมทั้งปู่ย่า ลงทะเบียนผ่านและใช้สิทธิ์ ร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้รู้ความจริงว่า จริงๆแล้ว ลงทะเบียนสำเร็จ แต่ไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่ได้สอบถามกับ น.ส.เอ อีก เพราะคิดว่าขอให้ทุกอย่างผ่านๆไป และไม่อยากมีปัญหากับใครจึงเงียบและทำมาหากินต่อไป

ขณะที่ พ.ต.ท.เทียรไชย ชาวส้าน รองผกก.สอบสวน สภ.แวงใหญ่ กล่าวถึงกรณีเรียกตัวชาวบ้านโจทย์ใหญ่ ม.5 จำนวน 35 คน มาสอบสวน ในครั้งนี้ว่า หลังจากที่รัฐบาลทำโครงการ เราเที่ยวด้วยกันขึ้นมา โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ดูแล ซึ่งการท่องเที่ยวและกีฬา ตรวจสอบพบว่า มีรายชื่อของชาวบ้านจำนวน 35 คน ไปใช้สิทธิ์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งปริมาณคนที่เข้าใช้บริการกับจำนวนห้องไม่ตรงกัน โดยมีรายชื่อชาวบ้าน 35 คน เข้าใช้บริการ จึงต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ในวันเวลาดังกล่าวนั้น ได้เข้าพักและใช้บริการจริงหรือไม่ โดย ททท.ได้ร้องทุกข์ที่กองปราบ กองปราบส่งเรื่องมายัง ภ.จว.ชัยภูมิ และชัยภูมิก็มีการตรวจนสอบ สอบสวน ในกรณีดังกล่าว

รองผกก.สอบสวน สภ.แวงใหญ่ กล่าวอีกว่า ในพื้นที่อ.แวงใหญ่นั้น มีรายชื่อชาวบ้านเกี่ยวข้องกับการขายสิทธิ์ เราเที่ยวด้วยกัน เกือบ 200 ราย แต่ครั้งนี้ได้ทำการสอบสวนชาวบ้านโจทย์ใหญ่ ทั้ง 35 คน ต่างให้การที่สอดคล้องกันว่า มีหญิงสาวรายหนึ่ง (ขอปกปิด น.ส.หญิง หรือ พิมพิชา ชำกุล) เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน มาชักชวนให้ร่วมลงทะเบียน โดยไม่ต้องไปเที่ยวก็ได้เงินใช้ ชาวบ้านจึงร่วมลงทะเบียนด้วย เพราะต้องการเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว แต่ไม่ได้ไปเที่ยว จึงต้องสอบปากคำและสรุปผลการสอบสวน ส่งไปยังตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ จุดที่ที่ตั้งโรงแรมดังกล่าว จากนั้นคณะพนักงานสอบสวนภ.จว.ชัยภูมิ จะมีการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง