ป้าวัย 66 ปี ชาว อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น พร้อมหลานสาว 15 ปี ขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชน หลังหนีตายปีนกำแพงไปพร้อมหลานสาว เพื่อหนีหลานชายวัย 35 ปี
นางขุนทอง อายุ 66 ปี เปิดเผยถึงรายละเอียดในวันที่ถูกหลานชายชื่อนายอดิศรหรือก้อ แน่นอุดร อายุ 35 ปี มาอาละวาดและทุบกระจกหน้าต่างว่า เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา ครอบครัวน้องสาวของตน ซึ่งเป็นมารดาของนายก้อ เกิดปัญหาในครอบครัว เพราะนายก้อ คลั่งเหมือนคนเมาเสพติด อาละวาดทุบทำลายรถยนต์จนพัง มารดาจึงแจ้งตำรวจสภ.บ้านแฮดไปจับกุม และนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อนายก้อพ้นคุกออกมาก็ทำร้ายร่างกายภรรยาและพยายามจะฆ่ามารดาตัวเอง เพราะแค้นที่แจ้งตำรวจมารจับ จนมารดาต้องหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น จากนั้น ภรรยาก็หอบลูก 3 คน หนีไปอีก ไม่นาน น้องสาว น้องเขยก็อยู่ไม่ได้ ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นเช่นกัน ทิ้งให้นายก้ออยู่บ้านคนเดียว
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2564 วันเกิดเหตุ นายก้อ เดินเข้ามาในบ้าน มาหาหลานสาววัย 15 ปี พร้อมกับถามถึงเบอร์โทรศัพท์ของลูกชาย แต่หลานสาวตอบว่า ไม่รู้ เพราะไม่เคยติดต่อกัน นายก้อไม่พอใจและกล่าวหาหลานสาว หาว่าโกหก จากนั้นก็ออกจากบ้านไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมจอบ และอาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ เอะอะโวยวายอยู่หน้าบ้าน จะให้ไปตามหาเมียกลับมาหาให้ได้ พร้อมอาละวาดทุบกระจกหน้าต่าง และพยายามจะเข้าในตัวบ้าน ด้วยความกลัวว่าจะถูกทำร้าย หลานสาวจึงจับมือพาตนวิ่งออกหลังบ้าน ปืนกำแพงรั้วหลังบ้านหนีออกไป
ช่วงเกิดเหตุได้แจ้งตำรวจ สภ.บ้านแฮด เพื่อให้มาระงับเหตุ และควบคุมตัวนายก้อ เพราะไม่กล้าเข้าบ้าน แต่เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงตำรวจจึงเดินทางมาถึงหมู่บ้าน แต่เหตุการณ์สงบแล้ว ตำรวจจึงไม่ได้ควบคุมตัวนายก้อได้ ตนจึงไปแจ้งความที่สภ.บ้านแฮด พนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความ บอกว่า ให้หาพยานและคลิปมายืนยันการก่อเหตุของนายก้อ จึงบอกไปว่า ไม่มีคนถ่ายคลิป มีเพียงหลานสาว วัย 15 ปี ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่จะเป็นพยานได้ แต่ตำรวจบอกว่า เด็กเป็นพยานไม่ได้
“ยายแจ้งความกับตำรวจ แต่ยายไม่มีคลิปเป็นหลักฐาน ตำรวจจึงทำอะไรนายก้อไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใคร เพราะอยากให้ตำรวจประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาตัวนายก้อ หลานชายไปดำเนินคดีตามกฏหมายและบำบัดรักษาอาการติดยาเสพติดให้ด้วย แต่ตำรวจช่วยอะไรไม่ได้ ทั้งยังแนะนำให้ไปติดต่อกับคนภายนอก โดยบอกว่า เป็นตำรวจที่ทำงานอยู่นอกโรงพัก พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ ในการติดต่อให้กับชายที่บอกว่าเป็นตำรวจ จึงได้ติดต่อไป ซึ่งชายคนดังกล่าวยืนยันว่า สามารถพานายก้อออกจากหมู่บ้านได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายหลายพันบาท จึงตัดสินใจว่าไม่ใช้บริการแล้ว แต่ขอพึ่งพาสื่อมวลชนเป็นคนกลางประสานหน่วยงานต่างๆมาช่วยเหลือ”
Leave a Response