องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ประกาศผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาครบ 14-21 วัน สามารถใช้ชีวิตในสังคมปกติได้
“5 องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์” ออกประกาศย้ำ! ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษา หรือกักตัวหลังจากมีอาการหรือหลังจากตรวจพบเชื้อครบ 14 -21 วันกรณีอาการรุนแรง และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ถือว่าผู้นั้นไม่มีการแพร่เชื้ออีก ไม่จำเป็นต้องกักตัวต่อ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ ขณะเดียวกันไม่ต้องทำการตรวจหาเชื้อซ้ำ ไม่ว่าวิธีการใด เพราะไม่มีประโยชน์ เป็นภาระทางการเงินและเวลา
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2564 ที่ผ่านมา องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ประกอบด้วย ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย นพ.อดุลย์ บัณฑุกุล นายกสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และศ.วุฒิคุณ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ออกประกาศร่วมองค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ เรื่อง การกลับเข้าสู่สังคมของผู้ป่วยโควิด-19 หลังครบกำหนดรักษาหรือกักตัว
ระบุว่า เพื่อให้มีการปฏิบัติในแนวทางเดียวกันในการกลับเข้าสู่สังคมของผู้ป่วยโควิด-19 หลังครบกำหนดการรักษาหรือกักตัว องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ 5 องค์กร ขอเรียนชี้แจงแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุกท่าน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และช่วยให้ผู้ป่วยโควิด-19 ตลอดจนสังคมส่วนรวม ได้กลับเข้าสู่การดำรงชีวิตอย่างปกติโดยเร็ว ดังนี้
1. ระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล หรืออยู่พักรักษาตัวที่บ้านหรือสถานที่ที่รัฐจัดให้ หลังจากมีอาการหรือหลังจากการตรวจ RT-PCR ได้ผลบวก เป็นเวลา 14 หรือ 21 วัน ถ้ามีอาการรุนแรงหรือภูมิคุ้มกันต่ำ ถือว่าเป็นระยะเวลากักตัว เนื่องจากในช่วงเวลานั้น ผู้ติดเชื้อจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จัดขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
2. ข้อมูลจากการศึกษาอย่างกว้างขวางบ่งชี้ว่า ระยะเวลาการกักตัวหลังจากมีอาการหรือหลังจากการตรวจ RT-PCR ได้ผลบวกเพียง 10 วันก็เพียงพอหากอาการไม่รุนแรงหรือไม่ใช่ผู้ติดเชื้อภูมิคุ้มกันต่ำ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงหรือภูมิคุ้มกันต่ำ ให้กักตัว 21 วัน ซึ่งในกรณีหลัง ผู้ติดเชื้อมักจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาตัวในห้องแยกในโรงพยาบาลนานกว่านั้น ดังนั้นเมื่อได้รับอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ทั้งหมดจึงจัดเป็นผู้ที่พ้นระยะเวลาการแพร่เชื้อแล้ว ไม่ต้องกักตัวต่ออีก ตามแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย
3. การศึกษาในต่างประเทศ และในประเทศไทย พบว่า เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหรือกักตัวตามระยะเวลาดังกล่าวแล้วกลับไปอยู่ที่บ้านและใช้ชีวิตทางสังคมตามปกติ ไม่ปรากฏว่ามีการติดเชื้อในบุคคลรอบข้างหรือการระบาดของโรคที่มีต้นตอมาจากผู้ติดเชื้อเหล่านี้เลย
4. การตรวจ RT-PCR จากการป้ายจมูกหรือใช้น้ำลายเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ สามารถตรวจพบได้ในผู้ที่เพิ่งจะมีการติดเชื้อ ไปจนกระทั่งอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากผู้ติดเชื้อหายจากโรคแล้ว เมื่อทำการเพาะเชื้อ (culture) ซึ่งเป็นการตรวจว่ายังมีตัวเชื้อที่แบ่งตัวและก่อโรคได้หรือไม่ พบว่าผู้ติดเชื้อมีอาการหรือได้รับการตรวจพบว่าติดเชื้อมานานเกินกว่า 10 วัน จะเพาะเชื้อไม่ขึ้น แม้ว่าจะยังตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้ออยู่ จึงมีการใช้คำว่า สิ่งที่ตรวจพบคือ “ซากเชื้อ” ซึ่งไม่สามารถทำอันตรายได้ ดังนั้น การตรวจ RT-PCR ซ้ำ เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับการวินิจฉัยแล้วหรือพ้นระยะแพร่เชื้อดังกล่าวข้างต้นแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ และองค์กรทางการแพทย์ทั่วโลกก็แนะนำว่าไม่ต้องทำ เช่นเดียวกับที่ระบุไว้ในแนวทางการรักษาโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข
5. การตรวจหาโปรตีนของไวรัส ที่เรียกกันทั่วไปว่า ATK (Antigen Test Kit) เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองผู้ที่มีประวัติสัมผัสโรคและมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโควิด-19 ไม่ใช้ในการตรวจเพื่อยืนยันว่าผู้ติดเชื้อนั้นหายจากโรคหรือไม่มีเชื้อแล้ว
6. ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อย ยังมีอาการบางอย่างอยู่เป็นเวลานาน เช่น การได้รับกลิ่น/รสผิดปกติ การไอ อาการเหนื่อย อ่อนเพลีย มีการตรวจเพาะเชื้อจากบุคคลเหล่านี้ ก็ไม่สามารถเพาะเชื้อขึ้นได้ และการติดตามผู้สัมผัสจำนวนมากในต่างประเทศ พบว่า ไม่มีใครติดเชื้อจากบุคคลเหล่านี้แม้จะยังมีอาการอยู่บ้าง ดังนั้นจึงถือได้ว่าปลอดภัย และไม่มีความจำเป็นต้องทำการ “ตรวจหาเชื้อซ้ำให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อแล้ว” แต่ประการใด
องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ 5 องค์กรดังรายนามปรากฏท้ายเอกสารนี้ จึงขอแนะนำว่า
1. เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหรือกักตัวหลังจากมีอาการหรือหลังจากการตรวจ RT-PCR ได้ผลบวก ครบ 14 วัน หรือ 21 วันกรณีมีอาการรุนแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำอย่างมาก (เช่น ได้รับยากดภูมิขนาดสูง) และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ผู้นั้นจะไม่มีการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น จึงไม่จำเป็นต้องกักตัวต่อ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ โดยแนะนำให้ปฏิบัติตนตามแนววิถีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
2. ไม่ต้องทำการตรวจหาเชื้อซ้ำอีก ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เพราะไม่มีประโยชน์ เป็นภาระทั้งด้านเวลาและการเงินของบุคคล/หน่วยงาน และเป็นอุปสรรคต่อการกลับไปใช้ชีวิตทางสังคมตลอดจนการประกอบอาชีพอย่างปกติ
องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนในสังคม ปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อที่หายจากโรคแล้ว ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจ กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
Leave a Response