องค์การอนามัยโลกระบุ “โควิดสายพันธุ์ใหม่” น่ากังวลมีการกลายพันธุ์ถึง 50 จุด พร้อมเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น “โอไมครอน” ขณะนี้ที่หลายประเทศเริ่มระงับเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้
องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization) ประชุมเกี่ยวกับเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 หรือโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาใต้ เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายจุดจนน่ากังวล โดยการประชุมเป็นไปเพื่อพิจารณาว่าจะจัดไวรัสตัวนี้ไว้ในกลุ่มสายพันธุ์น่าสนใจ หรือสายพันธุ์น่ากังวล ก่อนจะมีการกำหนดตั้งชื่อด้วยอักษรภาษากรีก
อย่างไรก็การเรียกประชุมดังกล่าวมีขึ้นหลังจาก ศาสตราจารย์ ทูลิโด เดอ โอลิเวียรา ผู้อำนวยการศูนย์ตอบสนองโรคระบาดและนวัตกรรมในแอฟริกาใต้ แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 64 ว่า ไวรัสโคโรนาก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 มีการกลายพันธุ์ทั้งหมด 50 จุด ซึ่งกว่า 30 จุดอยู่ที่โปรตีนหนาม ซึ่งยึดเกาะเซลล์ในร่างกายมนุษย์และเป็นเป้าหมาย ที่วัคซีนเข้าจัดการเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย.องค์การอนามัยโลก ออกแถลงการณ์ ว่า เชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ สายพันธุ์ “B.1.1.529” ถือเป็นสายพันธุ์น่าวิตกกังวล และเปลี่ยนชื่อภาษากรีกว่า “โอไมครอน” (Omicron) ทั้งนี้ โอไมครอน เป็นเชื้อไวรัสตัวที่ 5 ในกลุ่มนี้ ก่อนหน้านี้มีโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ อัลฟา เบตา แกมมา และเดลตา
ข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอน มาจากตัวอย่างรายการหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ของแอฟริกาใต้ซึ่งเก็บได้ เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นมีการรวบรวมข้อมูลและเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แล้วส่งมายัง WHO เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ปัจจุบัน เชื่อว่า อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า แทบทุกจังหวัดของแอฟริกาใต้ มีการแพร่ระบาดของไวรัสโอไมครอน
ขณะที่หลายประเทศเริ่มมีการจำกัดเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการยกเลิกเที่ยวบินจากแอฟริกาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แม้ว่า บอสตาวานา ประเทศแอฟริกาใต้จะไม่มีเที่ยวบินตรงมายังประเทศสหรัฐก็ตาม
ขณะที่ประเทศฮ่องกงมีการรายงานว่าตรวจการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ในผู้โดยสารที่เพิ่งเดินทางจากแอฟริกาใต้ โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการกักตัว เพื่อวินิจฉัยต่อไป
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวได้ที่เว็บไซต์ https://www.who.int/
Leave a Response