ความคืบหน้ากรณีชาวขอนแก่นสองราย ถูกมิจฉาชีพหลอกเอาข้อมูลสำคัญส่วนตัวดูดเงินจากบัญชีสูญเงินรวมกว่า 1 แสนบาท ผกก.สภ.บ้านไผ่ สั่งเร่งล่าตัวผู้กระทำผิดทั้งหมด พร้อมฝากเตือนอย่าหลงเชื่อให้ข้อมูลสำคัญส่วนตัวกับใคร ควรตรวจสอบให้ชัดเจน
ความคืบหน้ากรณี นางบัวพิศ เรืองแสง อายุ 53 ปี เจ้าของร้าน “เรืองแสง มินิมาร์ท” เลขที่ 17 บ้านโนนสวรรค์ หมู่ 2 ต.ภูเหล็ก อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ร้องผ่านสื่อมวลชนว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 14 พ.ย.2564 ที่ผ่านมา มีสายโทรศัพท์เข้ามาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย โทรมาสอบถามว่ามีเครื่อง EDC หรือเครื่องรูดบัตรประชารัฐหรือไม่ พร้อมขอข้อมูลส่วนตัวบอกว่าจะทำการแก้ไขหากไม่รีบดำเนินการจะไม่สามารถใช้เครื่องรูดบัตรได้ ตนจึงรับบอกทั้งเลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรประชาชน ระหัสบัตรATM และเลข OTP จนกระทั่งเวลาประมาณ 13.00 น.วันเดียวกันมีพนักงานบริษัทฯส่งสินค้ามาเล่าว่ามีร้านค้าหมู่บ้านข้างเคียงถูกหลอกถามข้อมูลใช้โอนเงินออกจากบัญชีสูญเงินนับแสน จึงรีบโอนเงินไปยังอีกบัญชีทันทีและรีบเดินทางไปติดต่อธนาคารซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าถูกหลอกพร้อมเปลี่ยนรหัสให้
ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่กระทรวงการคลังโอนเงินประชารัฐเข้าบัญชี จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงหลังเงินเข้า กลับพบว่าเงิน 20,000 กว่าบาทถูกโอนไปยังบัญชีอื่น เหลือในบัญชีเพียง 78 บาท จึงนำหลักฐานไปแจ้งความที่ สภ.บ้านไผ่และติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชีอีกครั้ง กลับได้รับคำตอบว่าไม่สามารถดำเนินการเปลี่ยนบัญชีที่ใช้โอนเงินประชารัฐได้ต้องเป็นอำนาจของกระทรวงการคลังเท่านั้น และผู้เสียหายอีกรายคือ นางวราภรณ์ มูลมาตร เจ้าของร้าน “เอ ร้านถูกใจ” มีร้านอยู่ห่างจากผู้เสียหายรายแรกไม่ไกล โดยมี SMS แจ้งมายังโทรศัพท์ตนว่ามีการใช้บัญชีขอเลข OTP จากนั้นก็มี SMS แจ้งโอนเงินออกจากบัญชีเป็นเงินจำนวน 89,700 บาท เหลือในบัญชีเพียง 2.97 บาทเท่านั้น ตนจึงไปแจ้งความที่ สภ.บ้านไผ่ และไปติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชี ต่อมาเจ้าหน้าที่แจ้งว่าทราบว่าชื่อและที่อยู่จากบัญชีที่รับโอนแล้วแต่เจ้าของบัญชีปฏิเสธ
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้ากับ พ.ต.อ.พิชัยภูษิส จารุพงศ์ ผกก.สภ.บ้านไผ่ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ภายหลังจากที่ตำรวจรับแจ้งความ ก็ได้ประสานไปยังธนาคารกรุงไทย ถึงกรณีที่มีเงินจากโครงการรัฐบาลโอนเข้ามาแต่ก็โอนออกไปทันที โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้ทำอะไรเลยโดยทางธนาคารได้ทำการตรวจสอบพบว่าเป็นลักษณะการโอนออนไลน์ ซึ่งการโอนออนไลน์จะต้องมีส่วนประกอบ 3 อย่างครบจึงจะโอนได้คือ เลขบัญชี เลขบัตรประชาชน และรหัสบัตร ถ้าไม่ครบก็ไม่สามารถโอนได้ ซึ่งทางธนาคารตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายอาจจะแจ้งข้อมูลทั้ง 3 อย่างนี้ให้ใครคนใดคนหนึ่งทราบ บุคคลนั้นจึงโอนไปได้ โดยทางตำรวจได้ทำหนังสือถึงธนาคารทั้ง 2 ธนาคารผู้ให้บริการบัญชีฯกับผู้เสียหายทั้ง 2 รายที่มาแจ้งความ และได้เชิญเจ้าของบัญชีปลายทางให้มาพบพนีกงานสอบสวนพร้อมหลักฐานมาชี้แจงว่าเงินดังกล่าวมาจากที่ไหน และจะตรวจสอบเส้นทางการเงินหากเชื่อมโยงใครก็จะเรียกมาสอบหากพบการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นส่วนๆไป
ในส่วนอีกรายที่ถูกหลอกจะเข้ามาซ่อมแซมเครื่องสแกนบัตรประชารัฐ มีเบอร์ 02 โทรมาอ้างว่าจะซ่อมอัปเดตเครื่อง เพราะหากไม่ซ่อมอัปเดตก็จะทำให้สแกนไม่ผ่านคนจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการไม่ได้ ก่อนจะส่งลิงก์มาให้กรอกข้อมูล ทั้งเลขบัตรประชาชน บัญชีธนาคารและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อหรอกข้อมูลสำคัญไป โดยทางตำรวจก็จะมีการสืบสวนสอบสวนในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
พร้อมกันนี้ขอฝากเตือนประชาชนทั่วประเทศ หากมีมิจฉาชีพอ้างว่าอัปเดตข้อมูลต่างๆในระบบออนไลน์ ให้ระมัดระวังห้ามกรอกข้อมูลส่วนตัวทั้งเลขบัตรประชาชน บัตรบัญชีธนาคาร รหัสบัตรเอทีเอ็ม เพราะจะทำให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้ ที่จะสามารถทำการโอนเงินออกจากบัญชีแบบออนไลน์ไป ซึ่งทางตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจเร่งสืบสวนสอบสวนล่าตัวผู้กระทำความผิดทั้งหมดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
Leave a Response