ขอนแก่น จับมือ อุดร-หนองคาย สร้างเศรษฐกิจใหม่ 3 แสนล้านบาท ในกลุ่มเวลเนส เน้นกลุ่มคนรักษ์สุขภาพและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 มี.ค.2565 ที่ห้องมงกุฎเพชร โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น นายสุเทพ มณีโชติ รอง ผวจ.ขอนแก่น เป็นประธานเปิดการประชุมการรับฟังความคิดเห็นกรอบและแนวทางการเขตระเบียงเศรษฐกิจเวลเนส ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกับ สมาคมโรงแรมภาคอีสาน, กฎบัตรไทย, สมาคมการผังเมืองไทย พร้อมด้วยองค์กรเครือข่าย ได้จัดการประชุมขึ้น โดยมีผู้ประกอบการด้านสุขภาพ และนักวิชาการด้านสุขภาพ และการแพทย์แผนไทย ในเขต จ.อุดรธานี,ขอนแก่น และ จ.หนองคาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด
นายฐาปนา บุณยประวิตร นายกสมาคมการผังเมืองไทย ในฐานะเลขานุการกฎบัตรไทย กล่าวว่า พื้นที่ภาคอีสานตอนกลางและตอนบน มีลักษณะเป็นประตูเชื่อมต่อโครงข่ายเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาค ปัจจุบันได้รับอานิสงค์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ที่สามารถเชื่อมต่อการค้าการลงทุนกับประเทศในอนุภูมิภาคได้โดยตรงทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศที่มีท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานีและท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น รวมทั้ง การขนส่งทางรางที่เชื่อมต่อทางตรงกับ สปป.ลาว และประเทศจีน ทั้งหนองคาย, อุดรธานี และขอนแก่นต่างเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง สามารถรองรับ ปริมาณการเดินทางและการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ได้
“ปัจจุบันกิจกรรมเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 25 ได้เชื่อมโยงการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ เมื่อรวมกิจกรรมเศรษฐกิจที่ทั้ง 3 จังหวัดผลิตได้ จะมีมูลค่า
มากกว่าร้อยละ 30 ของจังหวัดในภาคอีสานทั้งหมด ไม่นับรวมความเข้มแข็งของศูนย์เศรษฐกิจใจกลางเมืองของ 2 จังหวัด คือเทศบาลนครอุดรธานีกับเทศบาลนครขอนแก่น ที่มีความหนาแน่นของประชากรและมีความหนาแน่นของกิจกรรมเศรษฐกิจสูงระดับสูง อีกทั้งพื้นที่นี้ ยังมีจุดแข็งจากการเป็นฐานการวิจัย ฐานการพัฒนานวัตกรรมและเป็นศูนย์รวมของความเชี่ยวชาญบุคลากรด้านการแพทย์และสุขภาพของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งความพร้อมและความแข็งแกร่งที่กล่าวนั้น สามารถต่อยอดพัฒนาเป็นศูนย์บริการเวลเนสระดับอนุภูมิภาคได้ไม่ยากและด้วยศักยภาพของพื้นที่ภาคอีสานตอนกลางและอีสานตอนบน กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะทำงานขับเคลื่อนนิเวศอุตสาหกรรม Wellness Hub ได้คัดเลือกให้ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เป็นพื้นที่พัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็น 1 ใน 7 ระเบียงเศรษฐกิจเวลเนสประเทศไทยที่กระทรวงจะเสนอขออนุมัติจัดตั้งจากคณะรัฐมนตรี
สำหรับตำแหน่งด้านการตลาดของพื้นที่ เบื้องต้นคณะทำงานฯ ให้คงบทบาทการเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ของขอนแก่นไว้ เนื่องจากขอนแก่นเป็นที่ตั้งของคณะวิชาด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยได้เพิ่มความเข้มข้นกิจกรรมเศรษฐกิจเวลเนสสาขาผลิตภัณฑ์ความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย (Personal care, Beauty, Anti-aging) และสาขาการแพทย์สมัยใหม่ (Preventive, Personalized Medicine) เพื่อต่อยอดสร้างความโดดเด่น ด้วยปัจจุบันมีกิจการเวลเนสประเภทโรงพยาบาลและคลีนิครวมทั้งผู้เชี่ยวชาญในสาขาดังกล่าวเปิดให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก”
นายฐาปนา กล่าวต่ออีกว่า สำหรับอุดรธานีและหนองคาย ได้เสนอให้มีตำแหน่งที่โดดเด่นด้านอาหารสุขภาพ (Healthy Eating & Nutrition) การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก (Traditional & Complementary Medicine) และการท่องเที่ยวส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Tourism) เนื่องจากมีทรัพยากรด้านต่างๆ ที่สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าสูงได้ ทั้งนี้ จากการประมาณการของกฎบัตรไทย เชื่อว่า เศรษฐกิจเวลเนสของ 3 จังหวัดจะมีมูลค่ามากกว่า 3 แสนล้านบาทในปีที่ 3 ภายหลังจากดำเนินการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจแล้วเสร็จ
ด้านนายชาติชาย โฆษะวิสุทธิ์ ประธานกรรมการโรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น ในฐานะนายกสมาคมโรงแรมภาคอีสานกล่าวว่า การพัฒนานิเวศอุตสาหกรรม Wellness Hub ที่ได้เลือกพื้นที่อีสานตอนกลางและตอนบนเป็นเขตระเบียงเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับสมรรถนะกิจการโรงแรมและกิจการส่งเสริมสุขภาพให้เป็นกิจการเวลเนสที่ได้มาตรฐาน โดยได้ร่วมกับกฎบัตรไทยเปิดหลักสูตรการจัดการโรงแรมและกิจการเวลเนสสำหรับผู้บริการ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในพื้นที่อันดามัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการฝึกอบรมในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมีโครงการที่จะเปิดหลักสูตรในพื้นที่ภาคอีสานในเดือนมิถุนายนนี้ นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่โรงแรมจะได้ยกระดับเป็นโรงแรมเวลเนส (Wellness Hotel) ที่สมบูรณ์ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวสุขภาพจากต่างชาติให้เข้ามายังภาคอีสาน ช่วยสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเพิ่มอัตราการจ้างงานให้กับประชาชนในพื้นที่ได้
“ทั้งนี้ หากโรงแรมได้พัฒนาเป็นโรงแรมเวลเนส จะก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจการและรายได้ไม่น้อยกว่า 5 เท่า สามารถจ้างงานมูลค่าสูงให้กับผู้เชี่ยวชาญ นักเทคนิคการแพทย์ พร้อมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพส่งเสริมสุขภาพได้เป็นจำนวนมาก ไม่รวมการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเศรษฐกิจด้านการเกษตรและอาหารปลอดภัยที่เกษตรกรและผู้ประกอบการในซับพลายเชนจะได้รับต่อไป”
…
Leave a Response