21 กันยายน 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผู้สื่อช่าวรายงานว่า มีการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2565 มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ สธ. เป็นประธาน
ทั้งนี้ นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก และประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิต มีจำนวนลดลงต่อเนื่อง ประชาชนมีภูมิต้านทานจากการฉีดวัดซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครอบคลุมกว่าร้อยละ 82 และบางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ยังเน้นย้ำการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค เพื่อพร้อมเข้าสู่การดำเนินชีวิตที่เป็นปกติมากที่สุด โดยจะปรับเปลี่ยนมาตรการต่างๆ ให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย ภายใต้มุมมองด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงอย่างสมดุล
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 2 เรื่องสำคัญ คือ
1.เห็นชอบแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด -19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดยได้ลงนามยกเลิกโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ลำดับที่ 57 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมียุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมโรค 2.ด้านการแพทย์และรักษาพยาบาล 3.ด้านการสื่อสารความเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ และข้อมูลสารสนเทศ และ 4.ด้านบริหารจัดการ กฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบในลำดับถัดไปเพื่อกำหนดใช้วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป และให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความพร้อมทุกด้าน โดยจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจประกาศพื้นที่โรคระบาดตามความจำเป็น
2.เห็นชอบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดยก่อนเข้าประเทศ ยกเลิกแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเอกสารวัคซีน หรือผลการตรวจ ATK ทั้งนี้ ยังคงการเฝ้าระวังผู้เดินทางที่มีอาการป่วยของโรคติดต่ออันตราย หรือโรคติดต่ออุบัติใหม่
“ปรับมาตรการแยกกักสำหรับผู้ป่วยอาการน้อย หรือที่ไม่แสดงอาการ ให้ปฏิบัติตาม DMHT อย่างเคร่งครัด 5 วัน คือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และตรวจ ATK และให้คำแนะนำแก่ประชาชนให้มีพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ ตรวจ ATK เมื่อมีอาการ”
นายอนุทิน กล่าวและว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบอีก 4 เรื่อง คือ
1.แผนบริหารจัดการวัคซีน และการให้วัคซีนโควิด-19 ไฟเซอร์ฝาแดง ในเด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี คาดว่าเริ่มให้บริการได้ช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการไปโรงเรียน แต่แนะนำให้เด็กทุกคนเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต
2.แนวทางการใช้ Long Acting Antibody (LAAB) ที่ปรับปรุงเพิ่มเติม ในกลุ่มประชาชนกว่า 3.5 พันคน ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับวัคซีนแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น 3.แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย การดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคโควิด-19 หลังการระบาดใหญ่ (Post-pandemic) ซึ่ง สธ.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรองรับ เพื่อให้ประชาชนยังสามารถใช้สิทธิการรักษาเช่นเดียวกับโรคทั่วไป ทั้งการเข้าถึงการรักษาและได้รับยาต้านไวรัสตามแนวทางการรักษาล่าสุด รวมถึงการแยกกักผู้ป่วยที่สอดคล้องกับสถานการณ์ระยะต่อไป และ 4.โครงการการใช้ยาคลอโรควิน เพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อมาลาเรียชนิดพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในพื้นที่ที่มีการระบาดบริเวณชายแดนไทย – เมียนมา
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ต้องกักตัว แล้วออกไปทำงานได้แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากอาการน้อย หรือไม่มีอาการ สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำ DMHTT อย่างเข้มงวด
เมื่อถามว่า การรักษาพยาบาลของผู้ติดเชื้อนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 นายอนุทิน กล่าวว่า สามารถใช้วิธีการรักษาตามสิทธิสุขภาพของแต่ละคน ส่วนผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการรุนแรง สามารถใช้การรักษาตามสิทธิยูเซ็ป พลัส (UCEP Plus) ได้
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีแดง เช่น หายใจล้มเหลว หรือความดันตก ยังคงมีสิทธิของยูเซ็ป พลัส คือ เข้ารักษาได้ทุกสถานพยาบาล และให้รับรักษาจนหาย ซึ่งจะต่างจากยูเซ็ปทั่วไป ที่จะรักษาจนพ้นภาวะวิกฤตและส่งกลับสถานพยาบาลตามสิทธิภายใน 72 ชั่วโมง
Leave a Response