อีสานโพล เผยไตรมาสสุดท้ายของปีเศรษฐกิจอีสานดีขึ้นแน่ ขณะที่คนอีสานต้องการเงินหมื่นดิจิตอล และขอใช้ที่ไหนก็ได้ภายในประเทศ พร้อมแนะจ่ายเงินจริง 5,000 บาทที่เหลือให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ

202310-008

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 11 ต.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอีสานโพล (E-Saan Poll) ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เปิดเผยผลสำรวจเรื่องดัชนีภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสาน ไตรมาส 3/2566 และคาดการณ์ไตรมาส 4/2566 ผลสำรวจพบว่า ดัชนีภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสาน ไตรมาส 3/2566 (ก.ค. – ก.ย. 66) เท่ากับ 32.3 เต็ม 100 อยู่ในระดับแย่ ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนซึ่งมีค่า 32.8 อย่างไรก็ตามคะแนนผลงานรัฐบาลด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 27.8 เป็น 31.6 และคาดว่าดัชนีภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสาน ไตรมาส 4/2566 (ต.ค. – ธ.ค. 66) จะเท่ากับ 33.7 ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส3/2566  ขณะที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุว่าควรแจกเงินหมื่นดิจิทัลให้ทุกคน และเกินครึ่งต้องการใช้ที่ไหนก็ได้ พบคะแนนพรรคก้าวไกลนำพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน และหัวหน้าโครงการอีสานโพลแนะอาจลองพิจารณาปรับนโยบายแจกเงินดิจิทัลเป็น 5,000 บาทแรกให้ฟรี อีก 5,000 บาท เป็นวงเงินหมุนเวียนโอดีดอกเบี้ยต่ำ

รศ. ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล เปิดเผยว่าการสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานต่อภาวะเศรษฐกิจระดับครัวเรือน เพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนด้านต่างๆ และคำนวณดัชนีภาวะเศรษฐกิจอีสานในไตรมาส 3/2566 และคาดการณ์ไตรมาส 4/2566 พร้อมประเมินผลงานรัฐบาลด้านเศรษฐกิจและภาพรวม และมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายเงินหมื่นดิจิทัลและคะแนนนิยมพรรคการเมือง ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 6 – 8 ต.ค. 2566 จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,097 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยเริ่มจากการเมื่อสอบถามเกี่ยวกับ รายได้และทรัพย์สินครัวเรือน โอกาสหางานใหม่หรือเริ่มธุรกิจใหม่ การหมุนเงินเพื่อใช้จ่ายและชำระหนี้ และการซื้อของมูลค่าสูง และทำการประมวลผลได้ดัชนีต่างๆ ซึ่งค่าดัชนีมีค่าระหว่าง 0 – 100 หากดัชนีอยู่ระหว่าง 0 – 19.9 คือ แย่มาก ระหว่าง 20.0 – 39.9 คือ แย่ ระหว่าง40.0 – 59.9 คือ ปานกลาง/พอใช้ ระหว่าง 60.0 – 79.9 คือ ดี และ ระหว่าง 80.0 – 100 คือ ดีมาก โดยจากการสำรวจพบว่า

  • ดัชนีรายได้และทรัพย์สินครัวเรือนไตรมาส3/2566 เท่ากับ 32.2 หมายความว่า รายได้และทรัพย์สินครัวเรือนอีสาน อยู่ในระดับแย่ และแย่กว่าไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 33.1 และคาดว่าไตรมาสถัดไปดัชนีจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 33.4
  •    ขณะที่ดัชนีโอกาสหางานใหม่หรือเริ่มธุรกิจใหม่ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 32.9 หมายความว่า โอกาสหางานใหม่หรือเริ่มธุรกิจใหม่ในอีสาน อยู่ในระดับแย่ และดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 32.7 และคาดว่าไตรมาสถัดไปดัชนีจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 33.3
  •      และดัชนีการหมุนเงินเพื่อใช้จ่ายและชำระหนี้ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 31.7 หมายความว่า การหมุนเงินเพื่อใช้จ่ายและชำระหนี้ของครัวเรือนอีสาน อยู่ในระดับแย่ และแย่กว่าไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 32.9 และคาดว่าไตรมาสถัดไปดัชนีจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 33.7
  • ดัชนีการซื้อของมูลค่าสูงไตรมาส 3/2566เท่ากับ 32.5 หมายความว่า ความมั่นใจของครัวเรือนอีสานในการซื้อของมูลค่าสูง อยู่ในระดับแย่ และดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 32.4 และคาดว่าไตรมาสถัดไปดัชนีจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 34.4
  • ด้านดัชนีภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสานไตรมาส 3/2566เท่ากับ 32.3 หมายความว่า ภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสานโดยรวม อยู่ในระดับแย่ และแย่กว่าไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 32.8และคาดว่าไตรมาสถัดไปดัชนีจะดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 33.7

“และเมื่อประเมินผลงานรัฐบาลด้านเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3/2566 พบว่า ได้คะแนน 31.86 เต็ม 100 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งดัชนีเท่ากับ 27.8 ขณะที่ผลงานโดยรวมของรัฐบาลในช่วงไตรมาส 3/2566 ได้คะแนน 33.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งดัชนีเท่ากับ29.4 ทั้งนี้รัฐบาลเคยได้คะแนนด้านเศรษฐกิจต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งได้คะแนนนเพียง 20.3 และได้คะแนนผลงานโดยรวมเพียง 19.3 จากการระบาดอย่างหนักของโรคโควิดสายพันธุ์เดลตา และคำถามสุดฮิตคือเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ท่านคิดว่านโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรแจกให้ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป หรือแจกให้เฉพาะกลุ่มรายได้น้อยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.2 ต้องการให้แจกทุกคน รองลงมาร้อยละ 22.2 ต้องการให้แจกเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ตามมาด้วยร้อยละ 9.4 ระบุว่าควรนำงบไปทำอย่างอื่น และร้อยละ 4.2 ระบุว่าไม่แน่ใจ”

รศ. ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล

ผศ.ดร.สุทิน กล่าวต่ออีกว่าเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ท่านคิดว่านโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรมีเงื่อนไขการใช้เงินอย่างไร พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 57.7 ระบุว่าให้ใช้ที่ไหนก็ได้ รองลงมาร้อยละ 32.2 ระบุว่าให้ใช้ได้ภายในจังหวัด ตามมาด้วยร้อยละ 7.4 ระบุว่าให้ใช้ได้ภายในอำเภอ และมีเพียงร้อยละ 2.7 ระบุว่าให้ใช้ได้ภายในรัศมี 4  กิโลเมตร ตามทะเบียนบ้านและอาจขยายรัศมีให้เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างต่อว่า ในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา ท่านลงคะแนน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ให้พรรคใด และสอบถามว่า ถ้าเลือกตั้ง ส.ส. วันนี้ ท่านมีแนวโน้มจะลงคะแนน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ให้พรรคใด พบว่า คะแนนของพรรคก้าวไกล เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 36.8 เป็น ร้อยละ 42.9 ขณะที่คะแนนของพรรคเพื่อไทยลดลงจาก ร้อยละ 47.0 เหลือ ร้อยละ 40.7 พรรคภูมิใจไทยลดลงจาก ร้อยละ 4.9 เหลือ ร้อยละ 3.5 พรรครวมไทยสร้างชาติลดลงจาก ร้อยละ 5.7 เหลือ ร้อยละ 2.7  ไทยสร้างไทยเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 1.8 เป็นร้อยละ 2.6  พลังประชารัฐลดลงจาก ร้อยละ 1.1 เหลือ ร้อยละ 0.8 ประชาธิปัตย์ เท่าเดิมที่ ร้อยละ 1.0 เหลือ และอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.5 เป็น ร้อยละ 5.9

        “ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์และการเงินขอให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เข้าใจถึงความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และภาคเอกชนที่ออกมาเตือนและให้คำแนะนำรัฐบาลในการทำนโยบายแจกเงินดิจิทัล และเข้าใจถึงความต้องการของประชาชนที่อยู่ในสภาพลำบากทางเศรษฐกิจและมีปัญหาหนี้สิน ประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องการให้รัฐบาลแจกเงินช่วยเหลือในช่วงนี้ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรรับฟังข้อคิดเห็นอย่างรอบด้านและนำมาปรับปรุงการทำนโยบายให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดประโยชน์สูงสุด และขออนุญาตเสนอแนวทางที่ยังไม่มีใครพูดถึงมาก่อนคือ อาจจะทำการปรับนโยบายเป็นแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็น 5,000 บาทแรกให้ฟรี ส่วน 5,000 บาทที่เหลือเป็นวงเงินหมุนหรือวงเงิน OD ดอกเบี้ยต่ำ ปลอดดอกเบี้ย 1-2 ปีแรก ซึ่งจะทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณลงได้แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจได้ใกล้เคียงระดับเดิม และไม่สร้างผลกระทบด้านความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการเงินและการคลังมากเกินไป ขณะที่ประชาชนยังมีวงเงินใช้ 10,000 บาท แต่จะใช้เงินเพื่อสิ่งที่จำเป็นมากขึ้นหรือเลือกใช้เพื่อการลงทุนทำธุรกิจหารายได้ และหากมีกำลังใช้หนี้คืนได้ จะยังมีวงเงินหมุนเวียนต่อไปในอนาคตในช่วงที่ยากลำบาก”

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง