รับขวัญแรงงานชาวชุมแพหนีตายเหตุสู้รบอิสราเอล บินกลับเองเจอหน้าลูกครั้งแรก

16-9.00_00_13_07.Still001

ครอบครัวผูกแขนรับขวัญแรงงานชาวอำเภอชุมแพ หนีตายจากเหตุสู้รบในประเทศอิสราเอล ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเองเชื่อหลวงปู่ทวดคุ้มครอง เจ้าตัวเผยสุดดีใจมีชีวิตรอดกลับมาเจอลูกเมีย โดยเฉพาะลูกคนสุดท้องวัย 7 เดือนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก เล่าประสบการณ์กลุ่มฮามาสปลอมเป็นพ่อค้าพูดไทยสืบข้อมูล ลั่นไม่ขอกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกแล้ว

ชมคลิป

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 14 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปบ้านของนายสุพล  หรือนายหลอด นิชำนาญ อายุ 39 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ที่หนีเอาตัวรอดไปอยู่ที่สนามบินในอิสราเอล และเดินทางกลับบ้านที่ประเทศไทย ขณะนี้ถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย พร้อมหน้า นางเจนจิรา  พรหมหล้า  อายุ 38 ปี ภรรยาและลูกทั้ง 4 คน โดยมีญาติพี่น้องทยอยเดินทางมาเยี่ยมและผูกข้อมือรับขวัญอย่างไม่ขาดสาย

นายสุพล  หรือนายหลอด นิชำนาญ อายุ 39 ปี กล่าวว่า ตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ก็ได้ศึกษาสถานการณ์ในอิสราเอลทราบว่า เคยเกิดการสู้รบ แต่ภาพที่เคยเห็นคือ การสู้รบทางอากาศ ไม่เห็นเหตุการณ์ทางภาคพื้นดิน  และค่าจ้างที่เป็นค่าแรงก็มีส่วนดึงดูดใจให้ไปทำงาน จึงตัดสินใจไป โดยกู้หนี้ไปทั้งหมดเกือบสองแสนบาท ทำเรื่องไป และมีสัญญาการจ้างงาน 5 ปี 3 เดือน  จนได้เดินทางไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกมะเขือเทศ ได้เงินเดือนๆละ 60,000 บาท ความเป็นอยู่ก็ใช้ได้  ซึ่งจุดที่เป็นสวนเกษตร และแคมป์ที่พักคนงานอยู่ห่างจากฉนวนกาซ่า ประมาณ 3 กม.

นายสุพล  หรือนายหลอด เล่าอีกว่า วันเกิดความรุนแรงหนักคือวันที่ 7-8-9 ตุลาคม   โดยเช้าวันที่ 7 ตุลาคมนั้น เริ่มจากการยิงจรวดและทิ้งระเบิดจากบนฟ้า  ช่วงสายก็มีกลุ่มฮามาสเดินเท้าในภาคพื้นดิน จับตัวแรงงานไทยไปเป็นตัวประกัน และฆ่าแรงงงานไทย ขณะนั้นได้หลบซ่อนตัวอยู่ในป่ามะเขือเทศจนมืดค่ำ จึงมีทหารอิสราเอลมาขับไล่กลุ่มฮามาสออกนอกพื้นที่ และทหารอิสราเอลก็มาช่วยเหลือแรงงานไทยออกมาได้หลายคน จากนั้นกลุ่มทหารพาไปอยู่ที่ในพื้นที่เบนกามา แต่อยู่ได้นาน ทหารก็มาบอกว่า ไม่ปลอดภัย จะพาไปอยู่ที่พื้นที่ทูฟา พื้นที่ทางภาคเหนือ  จึงเดินทางออกไปกับเพื่อนคนไทยรวม 6 คน ไปอยู่ที่ทูฟา และถูกส่งตัวไปทำงานในสวนเกษตร ปลูกแตงกวา

นายสุพล กล่าวต่ออีกว่า ทำงานในสวนแตงกวาก็ไม่สบายใจ เพราะการสู้รบ เข้าในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว มีเสียงปืน เสียงระเบิดตลอดเวลา แรงงานไทยทุกคนจึงพยายามติดต่อกับญาติพี่น้องและติดต่อกับสถานทูตไทยและทางการไทยตลอดเวลา เพื่อลงชื่อกลับบ้าน  จนได้รับการติดต่อกลับจากทางสถานทูตว่า จะมีเครื่องบินไปรับแรงงานไทย จำนวน 2 คนในวันที่ 18 ตุลาคม นี้  ก็สรุปได้ว่าแรงงานไทย จะได้กลับบ้านเพียง 2 คน อีก 4 คน น่าจะรออีกนาน

“ความปลอดภัย ไม่มีใครรับรองได้ การสู้รบ มันขยับเข้ามาใกล้ตลอดเวลา จึงบอกนายจ้างว่า หากทางการไทยมารับ ก็ต้องเดินทางกลับ และถ้ามีทางที่จะสามารถกลับไทยได้ก็จะพากันออกไปทันที นายจ้างก็บอกว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ให้ออกไป จึงตัดสินใจจ้างรถแท็กซี่ไปส่งที่สนามบิน เพื่อหาซื้อตั๋วกลับประเทศไทย โดยภรรยาโอนเงินให้  และสามารถซื้อตั๋วด้วยเงินสดได้ทันที เมื่อได้ตั๋วก็ขึ้นเครืองบิน กลับมาที่ประเทศไทยทันที ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 14.15 น. จากนั้นก็นั่งรถรับจ้างมาที่หมอชิต 2 ซื้อตั๋วรถทัวร์เดินทางกลับมาที่บ้านที่อ.ชุมแพทันที โดยถึงชุมแพในเวลา 23.00 น.คืนที่ผ่านมา ญาติพี่น้องก็ไปเอารถไปรับ กลับมาหาลูกเมียที่บ้าน โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก วัย 7 เดือน ที่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย ”

นายสุพล กล่าวถึงกรณี แรงงานไทยทั้งชายและหญิงที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ว่า เท่าที่ทราบจากข่าวสารในอิสราเอลทราบว่า คนที่เป็นแรงงานไทยชาย ถูกจับไปถ้าขัดขืน จะถูกฆ่าทิ้ง ส่วนผู้หญิงจะถูกทรมานและถูกข่มขืน และกักขังแยกกัน ขณะที่น้องโย หรือนางณัฐฐาวรี มูลกัน อายุ 35 ปี แรงงานหญิงชาวไทยที่ถูกจับตัวไปพร้อมแฟนนั้น ก็เป็นแรงงานไทยที่พักในแคมป์เดียวกัน ในวันที่ถูกจับตัวไป ทั้งสองคนจะออกไปทำงานพิเศษ แล้วไปเจอกลุ่มฮามาสที่มาภาคพื้นดิน จับตัวไป ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรม ว่า เป็นอย่างไร จึงอยากฝากบอกแรงงานไทยในอิสราเอลว่า สถานการณ์รุนแรง ควรกลับมาบ้านเราก่อน เพราะถ้าเสียชีวิตมันไม่คุ้ม  โดยส่วนตัวจะไม่กลับไปเหยียบประเทศอิสราเอลอีก  แต่ก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจยังจะไปทำงานต่างประเทศเช่นเดิม เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและใช้หนี้  ตอนนี้ได้กำลังใจจากครอบครัวญาติพี่น้องก็จะอยู่กับครอบครัวก่อน ยังไม่คิดจะไปทำงาน ส่วนการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการที่จะถือติดตัวไปด้วยคือ เครื่องรางของขลังที่เชื่อว่าจะคุ้มครองให้ตัวเองปลอดภัย ตนเองก็เช่นกัน พี่ชายได้มอบหลวงปู่ทวดให้ติดตัวไป และคิดว่า หลวงปู่ทวด มีส่วนช่วยให้ตนเองปลอดภัยกลับมาหาลูกเมียได้

นายสุพล ยังเปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มฮามาสพูดภาษาไทยหลอกล่อให้ออกมาก่อนจะจับตัวเป็นตัวประกันและฆ่าทิ้ง ว่า จากประสบการณ์การทำงานในอิสราเอลมา 8 เดือน จะเห็นชาวอาหรับผู้ชาย มาในคราบของพ่อค้า สามารถพูดภาษาไทยได้ สื่อสารเป็นภาษาไทยรู้เรื่อง เหมือนแขกขายโรตีบ้านเรา ซึ่งในเรื่องนี้เคยคุยกันและมองว่าอาจจะเป็นกลุ่มฮามาสปลอมตัวมา เพื่อสืบค้นข้อมูลในแต่ละแคมป์ซึ่งมีคนไทยทำงานเป็นจำนวนมาก กระทั่งมีเหตุการณ์รุนแรง และแรงงานไทยก็ถูกกลุ่มฮามาสฆ่าตายจำนวนมาก สาเหตุที่กลุ่มฮามาสฆ่าคนไทย อาจจะมีสาเหตุ ซึ่งมีการพูดคุยในกลุ่มแรงงานว่า คนไทยอาจจะมาแย่งงานคนอาหรับ เพราะจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่มีแต่คนไทยมาทำงาน แต่ก็ไม่ขอยืนยันในเรื่องนี้ เพราะเป็นเพียงเรื่องเล่าในกลุ่มแรงงานไทย เท่านั้น

1 Comment รับขวัญแรงงานชาวชุมแพหนีตายเหตุสู้รบอิสราเอล บินกลับเองเจอหน้าลูกครั้งแรก

Comments are closed.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง