“ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบุกจับหมอเถื่อนในคลินิกเวชกรรมชื่อดังเมืองขอนแก่น สสจ.แจ้งข้อหาหนัก คุมตัวส่งตำรวจ ขณะที่หมอเถื่อนปีนหน้าต่างชั้น 2 หนีการจับกุม ต้องเกลี้ยกล่อมเอาบันไดมารับตัวลงมา สารภาพเจ้าของแบ่ง 10%เป็นค่าจ้าง
ชมคลิป
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 21 มิถุนายน 2567 นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยนางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมด้วยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองขอนแก่น ร่วมกันเข้าตรวจสอบและจับกุมบุคคลที่แอบอ้างตัวเป็นแพทย์ ให้บริการลูกค้าภายในว้าวคลินิกเวชกรรม ตั้งอยู่เลขที่ 82/49-50 ถนนประชาสโมสร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบภายในคลินิกก็พบ ห้องบริการลูกค้าที่มีทั้งหมด 3 ห้อง ภายในห้องที่ 2 พบหญิงสาวทราบเพียงชื่อเล่นว่า นางสาวอัน อายุ 30 ปี กำลังทำการฉีดโบท็อกให้กับลูกค้า ที่เป็นหญิงสาวอายุประมาณ 25 ปี ที่นอนอยู่บนเตียง และพบนางสาวกวาง คอยควบคุมดูแลอยู่ข้างๆ เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจยึดเข็มฉีดยาและตัวยาที่ให้บริการลูกค้า พร้อมทั้งตรวจค้นภายในตู้เย็นที่อยู่ภายในห้อง ตรวจยึดยาที่ใช้โบท็อก จำนวน 1 ขวด ฟิลเลอร์ 1 ขวด และยาควบคุมพิเศษ(สเตียรอยด์) จำนวน 5 ขวด
ซึ่งในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจยึดยาในคลินิกนั้น ปรากฏว่านางสาวอันได้เลี่ยงหนีขึ้นไปบนชั้น 2 และปีนหน้าต่างออกไปที่หลังคาชั้น 2 เพื่อจะหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่เห็นก่อนจึงได้เกลี้ยกล่อมให้ลงมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งนางสาวอันมีท่าทีหวาดผวา เจ้าหน้าที่จึงนำตัวเข้าห้องเพื่อพูดคุย และทำความเข้าใจถึงการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ นางสาวอันจึงมีท่าทีอ่อนลง
ในขณะเดียวกัน นางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เปิดเผยถึงการประสานงานกับ สสจ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง เข้าตรวจค้นและตรวจยึดยาต่างๆและควบคุมตัวหญิงที่ทำตัวเป็นแพทย์ผู้ให้บริการในครั้งนี้ว่า จริงๆแล้วรับการร้องเรียนจากผู้เสียหายในเรื่องของการร่วมลงทุน ว่าเพราะพบเจ้าของกิจการ โพสต์ขายกิจการ ลงในเพจเฟสบุ๊คว้าวคลินิกขอนแก่น เซ้งคลินิกเสริมความงามและเครื่องมือแพทย์ ได้ทักพูดคุยและได้พบกับจ้าของกิจการเดิม โดยตกลงกันว่าจะซื้อกิจการต่อ พร้อมใบอนุญาตประกอบกิจการคลินิกเสริมความงามดังกล่าวในราคา 800,000 บาท ตนจึงโอนเงินมัดจำงวดเเรกเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท และโอนเพิ่มอีกหลายครั้ง รวมแล้ว 130,500 บาท โดยระหว่างรอชำระเงินครบตามจำนวนที่ตกลง ผู้ร้องเรียนได้เข้ามาดูการดำเนินกิจการที่คลินิก จนเห็นการดำเนินการทั้งในเรื่องการผสมยา การให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ และทราบอีกว่าคลินิกดังกล่าวไม่มีใบประกอบกิจการสถานพยาบาล และไม่มี่หมอประจำคลินิก ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม จึงร้องเรียนมาที่มูลนิธิเป็นหนึ่ง หลังทราบเรื่องจึงพาผู้ร้องเรียนเข้าพบ นายแพทย์ สสจ.ขอนแก่น จากนั้นจึงวางแผนเข้าตรวจสอบและจับกุมหมอเถื่อน
โดยการให้นกต่อเข้ามาใช้บริการฉีดโบท็อกที่คลินิคดังกล่าวพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนที่แสดงตัวว่าพาแฟนมาฉีดโบท็อก เมื่อทุกอย่างดำเนินการตามที่คลินิคจะให้บริการ จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบและจับกุมหมอเถื่อนขณะกำลังลงมือฉีดโบท็อกให้ลูกค้าคาเตียง
ขณะที่ นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบที่คลินิกแห่งนี้ เพราะรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ซึ่งการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า เจ้าของว้าวคลินิกแห่งนี้ ได้ยืนเรื่องขอปิดการดำเนินกิจการแล้วเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567ที่ผ่านมา แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนก็ต้องเข้าตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า แม่เจ้าของกิจการจะทำเรื่องปิดกิจการ แต่ในความเป็นจริงยังให้บริการอยู่ด้วยการรับลูกค้าจองผ่านเพจ และให้พนักงานในคลินิคที่อ้างตัวเป็นแพทย์ ทำการให้บริการกับลูกค้าตามที่ลูกค้าจองมา
นพ.สสจ.ขอนแก่น กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าว มีความผิดในข้อหา ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 16 และดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 24 พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีความผิดตามมาตรา 57 จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และประกอบวิชาชีพหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ว่าพร้อมที่จะประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยมิได้กอบวิชาชีพเวชกรรม ผ่าฝืนมาตรา 26 พระราชบัญญัติวิชาชีพวชกรรม พ.ศ. 2525 มี มาตรา 43 จำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 12 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีความผิดตามมาตรา 101 จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินหนึ่งหมึนบาทขายยาปลอม ฝ่าฝืนมาตรา 72(1) มีความผิดตามมาตรา 119 จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท ขายยาที่มีได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ผ่าฝืนมาตรา 72(4) มีความผิดดามมาตรา 122 จำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขายยาบรรจุเสร็จหลายขนานโดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน ผ่าผืนมาตรา 75 ทวิ มีครามผิดตามมาตรา 122 ทวิ จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินหมื่นบาทะหรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านนางสาวอัน เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า คลินิกแห่งนี้ เคยเปิดให้บริการถูกต้อง มีแพทย์มาให้บริการลูกค้า ส่วนตัวเองเคยเป็นพนักงานทั่วไปภายในคลินิก และลาออกเพราะจ่ายเงินเดือนไม่ตรง และทราบว่าเจ้าของเดิม จะเซ้งกิจการจึงลาออกไป หมอที่คลินิกจึงถอดใบอนุญาตออกไปด้วย ทำให้ที่คลินิคไม่มีแพทย์ ต่อมาเจ้าของคลินิก ได้ติดต่อไปให้ช่วยมาดำเนินการฉีดยาให้ลูกค้า โดยมีเจ้าของคลิคนิคผสมยาหรือดึงยาให้ โดยจะให้ค่าจ้าง 10% จากผู้มาใช้บริการ 1 ราย และดำเนินการในหน้าที่หมอเถื่อนในคลินิกแห่งนี้มาปาระมาณ 5 เดือนแล้ว และบางครั้งก็ไปฉีดหน้าให้ลูกค้าในบ้านพัก จะได้ค่าลงเข็มหรือค่าฉีดครั้งละ 500-1,000 บาท
ส่วนการทำหน้าที่หมอเถื่อนนั้น ก็ไม่ได้วิตกกังวลว่า ลูกค้าจะมีความผิดปกติแต่อย่างใด เพราะคิดว่า หากเกิดการผิดพลาดทางคลินิกจะรับผิดชอบ และการปีนหน้าต่างชั้นสองหนีออกไป เพราะตกใจกลัวว่าจะมีความผิด แต่สุดท้ายก็หนีไม่ได้ และจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
ทางด้าน นางสาวกวาง อายุ 35 ปี บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า เป็นลูกจ้าง มาคอยต้อนรับลูกค้าให้กับเจ้าของคลินิก ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ส่วนการดำเนินการในคลินิกนั้น เฮียเจ้าของคลิคนิคเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง แต่ยอมรับว่า หญิงสาวที่ให้บริการฉีดหน้าให้ลูกค้านั้น ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง แต่เป็นหญิงสาวที่เฮียหามาทำหน้าที่แทนหมอ
Leave a Response