🧪 วัคซีนป้องกันได้ ควรฉีดตามแพทย์แนะนำ
🤧 อาการเริ่มคล้ายไข้หวัด ไอ น้ำมูก ไข้ต่ำ
🚨 ไอรุนแรง อาจทำให้ตัวเขียว เสียชีวิตได้
👶 คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับวัคซีนถ่ายทอดภูมิให้ทารก
🏥 แนะนำเด็กต่ำกว่า 1 ขวบฉีดวัคซีน 5 เข็ม
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 14 พ.ย. 2567 พญ.จิรา ศักดิ์ศศิธร รองผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จ.ขอนแก่น กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า โรคไอกรนส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง และโรคหัวใจ โดยอาการเริ่มแรกคล้ายไข้หวัด มีอาการไอ มีน้ำมูก และมีไข้ต่ำ ๆ ซึ่งสาเหตุการเกิดโรคนั้น เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย
“เชื้อตัวนี้สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ในกรณีสัมผัสใกล้ชิดระหว่างคนในบ้านเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะมียาที่ป้องกันและยาที่รักษาเป็นยาตัวเดียวกัน หากติดเชื้อ 1-2 สัปดาห์ อาการไอจะรุนแรงขึ้น ไอเป็นชุด หายใจเข้าจะมีเสียงดังวูด สลับกัน เรียกว่าโรคไอกรน กรณีเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ อาจจะมีอาการรุนแรง บางรายไอมากจนอาเจียน หรือไอจนตัวเขียว และเสียชีวิตได้”
พญ.จิรา กล่าวต่ออีกว่า ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่ติดเชื้อโรคไอกรนจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรง อาจจะมีอาการคล้ายไข้หวัด หากเด็กมีอาการไอเยอะ และนานกว่า 10 วันหรือมีอาการไอรุนแรง ควรจะพบแพทย์ สำหรับวิธีการป้องกันควรเริ่มตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ เพราะระหว่างการฝากครรภ์ตามนัดแพทย์จะฉีดวัคซีน นอกจากวัคซีนบาดทะยัก ยังมีวัคซีนป้องกันไอกรนซึ่งจะฉีดในช่วง 20 สัปดาห์ขึ้นไป หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะถ่ายทอดสู่ทารก หลังคลอดเด็กควรได้รับวัคซีนรวม 5 เข็ม โดยฉีดในช่วงอายุ 2, 4, 6 เดือน, 1 ขวบ 6 เดือน และ 4 ขวบ ซึ่งจะอยู่ในวัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก สามารถฉีดได้ที่สถานบริการของรัฐฟรี
Leave a Response