เกิดแผ่นดินไหว 2 ครั้งที่บุรีรัมย์ ปี 67
พบรอยเลื่อนมีพลัง 12 เส้นในภาคอีสาน
รอยเลื่อนโคราช-ท่าอุเทน ยาวกว่า 100 กม.
ควรออกแบบอาคารรองรับแผ่นดินไหว
กิจกรรมมนุษย์เสี่ยงกระตุ้นแผ่นดินไหว
วันที่ 2 เมษายน 2568 — จากกระแสในโลกออนไลน์ที่มีการแชร์ข้อความว่า “ภาคอีสานไม่มีรอยเลื่อน จึงจะไม่เกิดแผ่นดินไหว” ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงข้อมูลว่า ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง พร้อมเผยข้อมูลและหลักฐานเชิงวิชาการ
โดยระบุว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว จังหวัดบุรีรัมย์เกิดแผ่นดินไหว 2 ครั้ง ได้แก่
• วันที่ 22 กรกฎาคม 2567 ขนาด 2.9 ริกเตอร์ ลึก 1 กม. ศูนย์กลางอยู่ที่ ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ
• วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เวลา 18.01 น. ขนาด 3.0 ริกเตอร์ ลึก 1 กม. ศูนย์กลางอยู่ที่ ต.โคกล่าม อ.ลำปลายมาศ ห่างจากจุดเดิมประมาณ 10 กม.
อาจารย์ไชยณรงค์ย้ำว่า ข้อมูลจากเอกสารการตรวจสอบรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย โดยอาจารย์อดิศร ฟุ้งขจร ชี้ชัดว่า ภาคอีสานมีรอยเลื่อนมีพลังถึง 12 เส้น กระจายทั่วภูมิภาค โดยมีรอยเลื่อนที่ยาวเกิน 50 กม. ถึง 6 เส้น ซึ่งยิ่งรอยเลื่อนมีความยาวมาก ก็ยิ่งเสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงขึ้น
รอยเลื่อนที่ยาวเกิน 100 กิโลเมตร ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
1. รอยเลื่อนโคราช พาดผ่านหลายอำเภอใน จ.นครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ยาวประมาณ 193 กม.
2. รอยเลื่อนท่าอุเทน พาดผ่าน อ.เมือง อ.ท่าอุเทน และ อ.บ้านแพง จ.นครพนม รวมถึง อ.บึงโขงหลง และ อ.บุ่งคล้า จ.หนองคาย ยาวประมาณ 136 กม.
รอยเลื่อนอื่นที่ยาวเกิน 50 กม. ได้แก่
• รอยเลื่อนภูเขียว (เพชรบูรณ์-ชัยภูมิ) ยาว 72 กม.
• รอยเลื่อนภูเรือ (เพชรบูรณ์-เลย) ยาว 60 กม.
• รอยเลื่อนหนองบัวแดง (ชัยภูมิ) ยาว 56 กม.
• รอยเลื่อนสตึก (บุรีรัมย์-สุรินทร์) ยาว 55 กม. ซึ่งเป็นต้นเหตุของแผ่นดินไหวในปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่แสดงความรุนแรงของแผ่นดินไหว (intensity) ตามมาตราเมอร์คัลลิ ที่แสดงว่าพื้นที่ภาคอีสานมีความรุนแรงเฉลี่ยอยู่ในระดับ III ซึ่งคนทั่วไปอาจไม่รู้สึก แต่เครื่องมือสามารถตรวจจับได้ อย่างไรก็ตาม พื้นที่บางส่วนใน จ.นครพนม บึงกาฬ หนองคาย และชัยภูมิ อาจพบความรุนแรงในระดับ IV และ V ซึ่งคนสามารถรับรู้ได้ และอาคารบางประเภทอาจเกิดการสั่นไหวหรือเสียหาย
อาจารย์ไชยณรงค์ย้ำว่า ไม่สามารถกล่าวได้ว่าอีสานไม่มีรอยเลื่อนหรือไม่เกิดแผ่นดินไหว แต่ควรเข้าใจว่าความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมาตราเมอร์คัลลินั้นอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง ดังนั้น การออกแบบและก่อสร้างอาคาร เช่น อาคารเกิน 5 ชั้น อุโมงค์ และอาคารสาธารณะในพื้นที่ที่จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง V และ VI จึงควรมีมาตรการรองรับแผ่นดินไหว
นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมของมนุษย์ที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือการระเบิดเพื่อทำเหมือง โดยเฉพาะ “เหมืองโปแตชที่ด่านขุนทด” ซึ่งตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อนโคราช
ท้ายที่สุด อาจารย์ไชยณรงค์ระบุว่า นอกจากรอยเลื่อนภายในประเทศแล้ว รอยเลื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น “รอยเลื่อนแม่น้ำแดง” ก็อาจส่งผลต่อความรุนแรงของแผ่นดินไหวในภาคอีสานได้ในอนาคต โดยจะนำข้อมูลชุดนี้มาเผยแพร่เพิ่มเติมต่อไป
ที่มา : เฟซบุ๊ก ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์
Leave a Response